วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ทรพย์สินทางปัญญา

ความหมายของทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพย์สินทางปัญญา หมายถึง ผลงานอันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สินอีกชนิดหนึ่ง นอกเหนือจากสังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์สินที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เช่น นาฬิกา รถยนต์ โต๊ะ เป็นต้น และอสังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์สินที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เช่น บ้าน ที่ดิน เป็นต้น

ความหมายของลิขสิทธิ์  ลิขสิทธิ์ (©) หมายถึง สิทธิแต่ผู้เดียวที่กฎหมายรับรองให้ผู้สร้างสรรค์กระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ตนได้ทำขึ้น อันได้แก่ สิทธิที่จะทำซ้ำ ดัดแปลง หรือนำออกโฆษณา ไม่ว่าในรูปลักษณะอย่างใดหรือวิธีใด รวมทั้งอนุญาตให้ผู้อื่นนำงานนั้นไปทำเช่นว่านั้นด้วย



ความหมายของสิทธิบัตร หมายถึง หนังสือสำคัญที่รัฐออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์คิดค้นหรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่มีลักษณะตามที่กำหนดในกฎหมาย กฎกระทรวง และระเบียบว่าด้วยสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่ง ที่เกี่ยวกับการประดิษฐ์คิดค้นหรือการออกแบบ เพื่อให้ได้สิ่งของ,เครื่องใช้หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่เราใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น การประดิษฐ์รถยนต์โทรทัศน์คอมพิวเตอร์โทรศัพท์ หรือการออกแบบขวดบรรจุน้ำดื่ม, ขวดบรรจุน้ำอัดลม หรือการออกแบบลวดลายบนจานข้าว, ถ้วยกาแฟ ไม่ให้เหมือนของคนอื่น เป็นต้น 


ความหมายของเครื่องหมายการค้าเครื่องหมายการค้า  หมายถึง ตราสินค้าหรือส่วนหนึ่งของตราสินค้า เพื่อแสดงว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น เจ้าของมีสิทธิตามกฎหมายเพียงผู้เดียว เราไม่สามารถใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นและบุคคลอื่นก็ไม่สามารถใช้เครื่องหมายการค้าของเราได้ เว้นแต่จะมีสัญญาและข้อตกลงต่อกัน (เช่นการควบกิจการ) สัญลักษณ์อาจจะประกอบไปด้วย ชื่อ ข้อความ วลี สัญลักษณ์ ภาพ งานออกแบบ หรือหลายส่วนร่วมกัน โดยมีความหมายทางด้านทรัพย์สินทางปัญญาเป็นเครื่องหมายแสดงถึง ชื่อสินค้าเฉพาะอย่าง หรือทุกประเภทในเครื่องหมายการค้าจะเป็นการแสดงภาพเครื่องหมาย ชื่อ ตราสัญลักษณ์เพื่อแสดงถึง อ้างถึง มีความหมายถึงสิ่งใด ๆ ก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องกัน
เครื่องหมายการค้าอาจมีการกำกับด้วย  หมายถึงเครื่องหมายการค้าที่มิได้จดทะเบียน หรือ ® หมายถึงเครื่องหมายการค้าจดทะเบียน เป็นสัญลักษณ์สากล


ความหมายของ พรบ.คอมพิวเตอร์

ในปัจจุบันการก่ออาชญากรรมในสังคมมีแนวโน้มว่ากำลังจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันที่เป็นตัวผลักดันผู้คนที่อาศัยอยู่ในสังคมส่วนหนึ่งนั้นคิดทำการก่ออาชญากรรม ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในสังคมเท่านั้น แต่ยังกระจายวงกว้างครอบคลุมระบบคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่กำลังได้รับความนิยมและถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศนี้ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 จึงเป็นบทกฎหมายที่สำคัญในการควบคุมดูแล กำหนดความผิดและโทษ เกี่ยวกับการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งครอบคลุมทั้งในส่วนของประชาชนผู้ใช้งาน ผู้ให้บริการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

 ในหลายปีที่ผ่านมา การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ได้แพร่กระจายและมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อปัญหาในหลายด้านทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ เมื่อตัวบทกฎหมายที่ใช้ในการตัดสินบทลงโทษการกระทำความผิดและการก่ออาชญากรรมนั้นไม่รองรับการกระทำความผิดและการก่ออาชญากรรมบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ ดังนั้นกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีทีและผู้เกี่ยวข้อง จึงได้มีการประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และในปีพ.ศ. 2541 คณะรัฐมนตรีจึงได้ลงมติเห็นชอบให้คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติดำเนินการโครงการพัฒนากฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ และในวันที่ 18 มิถุนายน 2550 จึงได้มีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอน 27 ก หน้า 4-13 และท้ายที่สุดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2550 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ก็มีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย
                   พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 นั้นมีความเป็นมาและความสำคัญที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีตัวบทกฎหมายที่น่าสนใจและสามารถรองรับการกระทำความผิดและก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ได้ค่อนข้างครอบคลุมและทั่วถึง โดยพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 หมวดด้วยกัน ได้แก่ หมวด 1 ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และหมวด 2 พนักงานเจ้าที่ โดยจะกล่าวถึงและอธิบายลงลึกถึงใจความสำคัญในหัวข้อต่อๆไป ได้แก่
1. ความเป็นมาของพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550กล่าวถึงเหตุผลสำคัญๆที่ทำให้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับนี้ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง ยกตัวอย่างเช่น ตัวบทกฎหมายในปัจจุบันไม่รองรับการกระทำความผิดบนโลกไซเบอร์ อาชญากรรมในยุคเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงในสังคมหรือบนท้องถนนทั่วๆไป แต่ยังเกิดขึ้นบนโลกเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย เจตนารมณ์ในการร่างพ.ร.บ. ฉบับนี้ เช่น เพื่อกำหนดบทลงโทษ อำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานและแนวทางหรือข้อปฏิบัติของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต และผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อมีการนำพ.ร.บ. ฉบับนี้ออกมาใช้ เป็นต้น
2.สถิติเกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์เนื่องจากในปัจจุบันเทคโนโลยีเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์กำลังเจริญก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ดังนั้นผู้ไม่หวังดีหรือผู้ที่จ้องฉวยโอกาสก็จะมีช่องทางในการที่จะกระทำความผิดเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน หากเราศึกษาหรือเรียนรู้เกี่ยวกับสถิติหรือแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นของจำนวนอาชญากรรมเอาไว้ จะทำให้เราตระหนักถึงอันตรายและความเสี่ยงของอาชญากรรมเหล่านี้และมีความระมัดระวังเพิ่มมากยิ่งขึ้น 
3.พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2550 หมวด1 ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์แบ่งออกได้เป็น 2 หมวด ได้แก่ หมวด 1 ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ หมวด 2 พนักงานเจ้าหน้าที่ โดยในบทความนี้จะกล่าวถึงพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หมวด 1 โดยในหมวดนี้จะประกอบไปด้วยมาตราตั้งแต่ มาตราที่ 5 ถึงมาตราที่ 17 พร้อมทั้งบทกำหนดโทษ
4. พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 หมวด 2 พนักงานเจ้าหน้าที่โดยกล่าวถึงพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ในหมวดที่2 ซึ่งเกี่ยวกับพนักงานเจ้าหน้าที่โดยในหมวดนี้จะประกอบไปด้วยมาตราตั้งแต่ มาตราที่ 18 ไปจนถึงมาตราที่ 30 พร้อมทั้งบทกำหนดโทษ
5.วิธีปฏิบัติเพื่อป้องกันการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์เนื่องจากอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์นั้นนับวันจะยิ่งแพร่กระจายและมีเทคนิคหรือวิธีการในการหลอกลวงใหม่ๆเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ดังนั้นในบทความนี้จะยกตัวอย่างอาชญากรรมและข้อเสนอแนะหรือข้อควรปฏิบัติเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัย ไม่ถูกรบกวนหรือสูญเสียทรัพย์สินจากการถูกแฮกเกอร์หรือมิจฉาชีพบนโลกอินเทอร์เน็ตหลอกลวง เช่น เสนอแนะข้อแนะนำในการป้องกันตนเองหรือวิธีหลบเลี่ยงจากโปรแกรมโทรจัน การป้องกันตนเองและข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญจากมิจฉาชีพที่ปลอมแปลงเป็นบุคคลอื่นเพื่อโจรกรรมข้อมูลของเรา เป็นต้น










วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

การใช้อินเทอร์เน็ต อย่างปลอดภัย

ทันภัยการใช้อินเทอร์เน็ต


การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภััย

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภััย (Make IT Safe)


10 วิธี ดูแลบุตรหลานที่ใช้งานอินเทอร์เน็ต
1.พ่อแม่ควรเรียนรู้เรื่องอินเทอร์เน็ตบ้าง
2.ใช้เวลาท่องอินเทอร์เน็ตกับลูกให้มากที่สุด หรืออย่างน้อยต้องพูดคุยกัน
3.ติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ในห้องรวมของครอบครัว
4.ท่านต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้งานอินเทอร์เน็ตก่อนที่จะสอนลูก
5.สอนลูกให้เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการใช้งานแต่ละอย่าง เช่น อีเมล์ แช็ต 
6.กลุ่มข่าว เว็บ การสำเนาข้อมูล รวมถึงกฎกติกามารยาทออนไลน์
7.ส่งเสริมให้ลูกใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างสนุก ปลอดภัย และได้ประโยชน์
8.หมั่นสังเกตพฤติกรรมของลูก ดูว่าเขาทำตัวแปลกไปกว่าที่เคยหรือไม่ 
9.พูดคุยกับลูกให้เข้าใจแต่แรก ถึงขอบเขตการใช้งานอินเทอร์เน็ต
10.ผู้ปกครองอาจติดตั้งโปรแกรมบล็อกเว็บไซต์ได้


วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

บริการต่างๆในอินเตอร์เน็ต

1.ไปรษณีย์อิเลคทรอนิคส์ (Electronic Mail หรือ E-Mail)
    เป็นบริการหนึ่งบนอินเทอร์เนตที่คนนิยมใช้กันมากคือส่งจดหมายโดยทางคอมพิวเตอร์ถึงผู้ที่มีบัญชีอินเตอร์เน็ต ด้วยกันไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลคนละซีกโลกจดหมายก็จะไปถึงอย่างสะดวกรวดเร็วและง่ายดายโปรแกรมที่ใช้ ได้แก่
Hotmail  , YahooMail , ThaiMail และยังมี Mail ต่าง ๆ ที่ให้บริการอย่างมากมายในปัจจุบัน ตามหน่วยงานหรือ
องค์กรต่าง ๆ



2. Search Engine  (บริการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต)
          Search Engine เป็นเว็บไซต์ที่มีเครื่องมือในการที่จะค้นหาเว็บไซต์ต่าง ๆ มาเก็บไว้ในฐานข้อมูลของ ตัวเองโดยอัตโนมัติ เช่น Google.com หรือ Altavista.com ซึ่งเครื่องมือนี้ มีชื่อเรียกว่า Search Robot     จะทำหน้าที่คอยวิ่งเข้าไปอ่านข้อความจากหน้าเว็บไซต์ ของเว็บต่าง ๆ แล้วนำมาจัดลำดับคำค้นหา (Index)ที่มีในเว็บไซต์เหล่านั้น เก็บไว้ในฐานข้อมูลของตนเอง เมื่อเราเข้าไปใช้บริการ
กับ Search Engine 

วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

ภาษาฟอร์แทน


žภาษาฟอร์แทรน 


หรือ FORTRAN เป็นชื่อที่ย่อมาจาก FORmular TRANslation ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อกลางทศวรรษที่ 1950 ด้วยฝีมือของพนักงานบริษัทไอบีเอ็ม นับเป็นภาษาชั้นสูงภาษาแรกที่ได้มีการใช้แพร่หลาย จึงได้มีบัญญัติภาษาฟอร์แทรนฉบับมาตรฐานขึ้นในเวลาต่อมาโดย ANSI (American National Standard Institute)

žฟอร์แทรนถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ อันเป็นงานที่มักใช้งานประมวลที่ซับซ้อนžเนื่องจากฟอร์แทรนถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานทางวิทยาศาสตร์ จึงมีจุดอ่อนในเรื่องเกี่ยวกับการจักการไฟล์ นอกจากนี้จากการที่ฟอร์แทรนถูกออกแบบมาตั้งแต่สมัยที่เรายังใช้บัตรเจาะรูซึ่งมีขนาด 80 คอลัมน์  ทำให้ฟอร์แทรนมีกฎเกณฑ์ที่จะต้องเริ่มต้นและจบประโยคภายในคอลัมน์ที่กำหนด ซึ่งเป็นเรื่องน่ารำคาญพอสมควร  ในการเขียนโปรแกรมในปัจจุบัน เมื่อพูดถึงโครงสร้างของภาษาฟอร์แทรนแล้วก็ไม่สามารถสู้ภาษารุ่นใหม่ๆได้

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โปรแกรมคอมพิวเตอร์

โปรแกรมคอมพิวเตอร์

โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (อังกฤษ: computer program) คือ กลุ่มชุดคำสั่งที่ใช้อธิบายชิ้นงาน หรือกลุ่มงานที่จะประมวลผลโดยคอมพิวเตอร์โปรแกรมคอมพิวเตอร์อาจหมายถึง ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน หรือ โปรแกรม โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่นั้นเป็นชุดคำสั่งที่ออกแบบตามขั้นตอนวิธี โดยปกติแล้วเขียนโดยโปรแกรมเมอร์ หรือไม่ก็สร้างโดยโปรแกรมอื่น โปรแกรมคอมพิวเตอร์ชุดหนึ่ง ๆ อาจเขียนขึ้นด้วยระบบรหัส หรือที่เรียกว่า ภาษาเครื่อง ซึ่งมักเขียนได้ยากและเหมาะกับช่างเทคนิคเฉพาะทาง ภายหลังจึงได้มีการสร้างภาษาโปรแกรมที่ใกล้เคียงภาษามนุษย์มากขึ้น เช่น ภาษาแอสเซมบลี(Assembly) ภาษาซี (C) ภาษาโคบอล (COBOL) ภาษาเบสิก (BASIC) ภาษา C# ภาษาจาวา เป็นต้น ผู้เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์อาจเขียนโปรแกรมไว้ใช้ส่วนตัว หรือเพื่อให้ผู้อื่นใช้ต่อ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมประยุกต์หรือไลบรารี เช่น โปรแกรมสำหรับวาดภาพ (graphics) โปรแกรมประมวลผลคำ (word processing) โปรแกรมตารางจัดการ (spread sheet) โปรแกรมระบบ (systems software) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยมักติดตั้งมาจากโรงงานที่ผลิต และโปรแกรมระบบปฏิบัติการ (operating system) ที่จะทำหน้าที่เหมือนผู้จัดการคอยดูแลให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ทำงานให้ประสานกัน ในการเขียนโปรแกรม ผู้เขียนจะต้องเข้าใจขั้นตอนวิธี (ขั้นตอนวิธี) และภาษาที่จะใช้เป็นอย่างดี จึงจะสามารถเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุมเครื่องให้ทำงานได้ตามความต้องการ

ขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรม

ขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรมประกอบด้วย

1.การวิเคราะห์ปัญหา - การวิเคราะห์ปัญหา ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
  1. กำหนดวัตถุประสงค์ของงาน เพื่อพิจารณาว่าโปรแกรมต้องทำการประมวลผลอะไรบ้าง
  2. พิจารณาข้อมูลนำเข้า เพื่อให้ทราบว่าจะต้องนำข้อมูลอะไรเข้าคอมพิวเตอร์ ข้อมูลมีคุณสมบัติเป็นอย่างไร ตลอดจนถึงลักษณะและรูปแบบของข้อมูลที่จะนำเข้า
  3. พิจารณาการประมวลผล เพื่อให้ทราบว่าโปรแกรมมีขั้นตอนการประมวลผลอย่างไรและมีเงื่อนไปการประมวลผลอะไรบ้าง
  4. พิจารณาข้อสนเทศนำออก เพื่อให้ทราบว่ามีข้อสนเทศอะไรที่จะแสดง ตลอดจนรูปแบบและสื่อที่จะใช้ในการแสดงผล
2.การออกแบบโปรแกรม - การออกแบบขั้นตอนการทำงานของโปรแกรมเป็นขั้นตอนที่ใช้เป็นแนวทางในการลงรหัสโปรแกรม ผู้ออกแบบขั้นตอนการทำงานของโปรแกรมอาจใช้เครื่องมือต่างๆ ช่วยในการออกแบบ อาทิเช่น คำสั่งลำลอง (Pseudocode) หรือ ผังงาน (Flow chart) การออกแบบโปรแกรมนั้นไม่ต้องพะวงกับรูปแบบคำสั่งภาษาคอมพิวเตอร์ แต่ให้มุ่งความสนใจไปที่ลำดับขั้นตอนในการประมวลผลของโปรแกรมเท่านั้น

3.การเขียนโปรแกรม-เป็นการนำเอาผลลัพธ์ของการออกแบบโปรแกรมมาเปลี่ยนเป็นโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาใดภาษาหนึ่งผู้เขียนโปรแกรมจะต้องให้ความสนใจต่อรูปแบบคำสั่งและกฎเกณฑ์ของภาษาที่ใช้เพื่อให้การประมวลผลเป็นไปตามผลลัพธ์ที่ได้ออกแบบไว้นอกจากนั้นผู้เขียนโปรแกรมควรแทรกคำอธิบายการทำงานต่างๆลงในโปรแกรมเพื่อให้โปรแกรมนั้นมีความกระจ่างชัดและง่ายต่อการตรวจสอบและโปรแกรมนี้ยังใช้เป็นส่วนหนึ่งของเอกสารประกอบ

4.การทดสอบโปรแกรม  อาจแบ่งได้เป็น 3 ขั้น 

  • สร้างแฟ้มเก็บโปรแกรมซึ่งส่วนใหญ่นิยมนำโปรแกรมเข้าผ่านทางแป้นพิมพ์โดยใช้โปรแกรมประมวลคำ
  • ใช้ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์แปลโปรแกรมที่สร้างขึ้นเป็นภาษาเครื่อง โดยระหว่างการแปลจะมีการตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบและกฎเกณฑ์ในการใช้ภาษา ถ้าคำสั่งใดมีรูปแบบไม่ถูกต้องก็จะแสดงข้อผิดพลาดออกมาเพื่อให้ผู้เขียนนำไปแก้ไขต่อไป ถ้าไม่มีข้อผิดพลาด เราจะได้โปรแกรมภาษาเครื่องที่สามารถให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลได้
  • ตรวจสอบความถูกต้องของการประมวลผลของโปรแกรม โปรแกรมที่ถูกต้องตามรูปแบบและกฎเกณฑ์ของภาษา แต่อาจให้ผลลัพธ์ของการประมวลผลไม่ถูกต้องก็ได้ดังนั้นผู้เขียนโปรแกรมจำเป็นต้องตรวจสอบว่าโปรแกรมประมวลผลถูกต้องตามต้องการหรือไม่ วิธีการหนึ่งก็คือ สมมติข้อมูลตัวแทนจากข้อมูลจริงนำไปให้โปรแกรมประมวลผลแล้วตรวจสอบผลลัพธ์ว่าถูกต้องหรือไม่ ถ้าพบว่าไม่ถูกต้องก็ต้องดำเนินการแก้ไขโปรแกรมต่อไป

    5.การทำเอกสารประกอบโปรแกรม-เป็นงานที่สำคัญของการพัฒนาโปรแกรม เอกสารประกอบโปรแกรมช่วยให้ผู้ใช้โปรแกรมเข้าใจวัตถุประสงค์ ข้อมูลที่จะต้องใช้กับโปรแกรม ตลอดจนผลลัพธ์ที่จะได้จากโปรแกรม การทำโปรแกรมทุกโปรแกรมจึงควรต้องทำเอกสารกำกับ เพื่อใช้สำหรับการอ้างอิงเมื่อจะใช้งานโปรแกรมและเมื่อต้องการแก้ไขปรับปรุงโปรแกรม เอกสารประกอบโปรแกรมที่จัดทำ ควรประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้

    1. วัตถุประสงค์
    2. ประเภทและชนิดของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ใช้ในโปรแกรม
    3. วิธีการใช้โปรแกรม
    4. แนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบโปรแกรม
    5. รายละเอียดโปรแกรม
    6. ข้อมูลตัวแทนที่ใช้ทดสอบ
    7. ผลลัพธ์ของการทดสอบ

    6.การบำรุงรักษาโปรแกรม - เมี่อโปรแกรมผ่านการตรวจสอบตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว และถูกนำมาให้ผู้ใช้ได้ใช้งาน ในช่วงแรกผู้ใช้อาจจะยังไม่คุ้นเคยก็อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาบ้าง ดังนั้นจึงต้องมีผู้คอยควบคุมดูแลและคอยตรวจสอบการทำงาน การบำรุงรักษาโปรแกรมจึงเป็นขั้นตอนที่ผู้เขียนโปรแกรมต้องคอยเฝ้าดูและหาข้อผิดพลาดของโปรแกรมในระหว่างที่ผู้ใช้ใช้งานโปรแกรม และปรับปรุงโปรแกรมเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้น หรือในการใช้งานโปรแกรมไปนานๆ ผู้ใช้อาจต้องการเปลี่ยนแปลงการทำงานของระบบงานเดิมเพื่อให้เหมาะกับเหตุการณ์ นักเขียนโปรแกรมก็จะต้องคอยปรับปรุงแก้ไขโปรแกรมตามความต้องการของผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง